วิวัฒนาการของการของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง
การนับ หรือ การคำนวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525
ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ
ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ
ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"
วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มีต้นกำเนิดมาจากเครื่องคำนวณที่ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นโดยนายชาร์ลส
แบบเบจ (Charles Babbage) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ
ซึ่งต่อมาเขาได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งคอมพิวเตอร์
ชาร์ลส
แบบเบจ
บิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์
บิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สามารถแบ่งออกได้โดยแบ่งส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์
(Hardward ) เป็น 5 ยุค ดังนี้
ยุคที่ 1
ยุคหลอดสุญญากาศ (พ.ศ.2488 - พ.ศ.2501)
คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศ (vacuum tube) ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเท่าหลอดไฟฟ้าตามบ้านเป็นองค์ประกอบหลักของวงจรไฟฟ้า
และใช้บัตรเจาะรูในการเก็บข้อมูลและคำสั่งที่ให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
และใช้ดรัมแม่เหล็ก (magnetic drum) เป็นหน่วยความจำหลัก
ในระยะแรกจุดประสงค์ของการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้เพื่อช่วยในงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์
และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกมีชื่อว่า อินิแอค (ENIAC) ต่อมาในปี 2491
ได้มีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถใช้งานทางธุรกิจ ชื่อว่า
ยูนิแวค (UNIVAC) ทั้งนี้เพื่อใช้ช่วยในการสำรวจสำมะโนประชากร
ปัญหาของคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศ นอกจากขนาดและน้ำหนักที่มากแล้ว
ยังมีปัญหาเรื่องความร้อน
เนื่องจากหลอดดังกล่าวต้องใช้พลังงานสูงทำให้เกิดความร้อนจากการใช้งานสูง
และไส้หลอดขาดง่าย ทำให้มีการพัฒนาอุปกรณ์อื่นขึ้นใช้งานแทน
ยุคที่ 2
ยุคทรานซิสเตอร์ (พ.ศ. 2502-2506)
เครื่องคอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ทรานซิสเตอร์ (transistor)
เป็นองค์ประกอบหลักของวงจรไฟฟ้าแทนหลอดสุญญากาศ
ทำให้ตัวคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก
โดยทรานซิสเตอร์ที่พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกมีขนาด 1 ใน 100 ของหลอดสุญญากาศเท่านั้น
และมีคุณสมบัติที่ดีอีกหลายประการคือ ไม่เปลืองกระแสไฟฟ้า
ไม่ต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องเมื่อแรกเปิดเครื่อง
ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพและความเร็วเพิ่มขึ้น และในปี พ.ศ. 2505
มีการนำชุดจานแม่เหล็กที่ถอดเปลี่ยนได้มาใช้บันทึกข้อมูลแทนการใช้เทปแม่เหล็ก
เทคโนโลยีใหม่ ๆ
ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ยุคนี้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการใช้คอมพิวเตอร์ถูกลง
และทำให้ธุรกิจต่าง ๆ เริ่มนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในกิจการมากขึ้น
ทรานซีสเตอร์ (Transistor)
ยุคที่ 3
ยุควงจรรวม (พ.ศ. 2507-2512)
เป็นยุคที่มีการพัฒนาวงจรไอซี (Integrated
Circuit : IC) ซึ่งเป็นการบรรจุวงจรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากลงบนแผ่นซิลิคอนเล็ก
ๆ ไอซีจึงเข้ามาทำหน้าที่แทนทรานซิสเตอร์
เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่น 4 ประการคือ
1.
มีความเชื่อถือได้ หมายความว่า ไม่ว่าจะใช้งานกี่ครั้งกี่หน
ก็จะได้ผลออกมาเหมือนเดิม
2. มีความกระชับ
เนื่องจากวงจรได้ถูกย่อส่วนให้เล็กทำให้อุปกรณ์มีขนาดเล็กกะทัดรัด มีความเร็วในการทำงานเพิ่มมากขึ้น
เพราะวงจรอยู่ใกล้กันมาก ระยะเวลาในการเดินทางของกระแสไฟฟ้าจะน้อยลง
3.ราคาถูก
เนื่องจากมีการผลิตเป็นปริมาณมาก ๆ ทำให้ต้นทุนถูกลง
4.ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ทำให้ประหยัด
IC
ยุคที่ 4 ยุควีแอลเอสไอ (พ.ศ. 2513-2532)
จากวงจรไอซีได้มีการพัฒนาเป็นวงจรรวมความจุสูงหรือแอลเอสไอ (Large Scale Integrated Circuit : LSI) ขึ้นมาใหม่ในปี
พ.ศ.2513
สามารถบรรจุวงจรทรานซิสเตอร์จำนวนหลายพันตัวลงบนแผ่นซิลิคอนขนาด 1/6
ตารางนิ้ว และในปี พ.ศ. 2518 สามารถเพิ่มปริมาณวงจรหลายหมื่นวงจรลงบนซิลิคอนขนาดเท่าเดิม
เรียกว่า วงจรรวมความจุสูงมากหรือวีแอลเอสไอ (Very Large
Scale Integrated Circuit : VLSI) จากการประดิษฐ์วีแอลเอสไอสามารถนำมาสร้างเป็นไมโครโพรเซสเซอร์
ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู (Central
Processing Unit : CPU) ของคอมพิวเตอร์
สามารถลดขนาดของคอมพิวเตอร์ให้เล็กลงจนสามารถตั้งบนโต๊ะทำงานในสำนักงาน
หรือพกพาไปในที่ต่างๆ เหมือนกระเป๋าหิ้วได้
เรียกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เกิดในยุคนี้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) มีการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ให้มีขีดความสามารถสูงขึ้นมาก
ซอฟต์แวร์เหล่านี้ก็จะมีการติดต่อกับผู้ใช้ในรูปของกราฟิกที่เรียกว่าจียูไอ
ทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น
การใช้งานคอมพิวเตอร์จึงได้รับความนิยมสูงขึ้นมากในยุคน
ไมโครโปรเซสเซอร์
(microprocessor)
ยุคที่ 5 ยุคเครือข่าย
(พ.ศ. 2533-ปัจจุบัน)
เมื่อไมโครคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถสูงขึ้น
ทำงานได้เร็วการแสดงผลและการจัดการข้อมูลก็ทำได้มากสามารถประมวลผลและแสดงผลได้ครั้งละมากๆจึงทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้หลายงานพร้อมกันดังจะเห็นได้จากโปรแกรมจัดการประเภทวินโดว์ในปัจจุบันที่ทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ขณะเดียวกันก็มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์กรมีการทำงานเป็นกลุ่ม
(กลุ่มงาน) โดยใช้เครือข่ายท้องถิ่นที่เรียกว่าแลน (Local Area Network: LAN) เมื่อเชื่อมการทำงานหลายๆกลุ่มขององค์กรเข้าด้วยกันเกิดเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กรเรียกว่าอินทราเน็ต
(intranet) และหากนำเครือข่ายขององค์กรเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายสากลที่ต่อเชื่อมกันทั่วโลกก็เรียกว่าอินเทอร์เน็ต
(Internet) คอมพิวเตอร์ในยุคนี้จึงเป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้นกล่าวได้ว่าเป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์
(Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆทั่วโลกกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น